This post is also available in: English (อังกฤษ) 简体中文 (จีนประยุกต์) 한국어 (เกาหลี)
ภาวะเชื้อราในช่องคลอด(โรคเชื้อราแคนดิดา) เป็นโรคติดเชื้อราที่เกิดจากยีสต์ที่มีชื่อว่าแคนดิดา เชื้อราในช่องคลอดอาจเกิดขึ้นได้บริเวณช่องคลอด องคชาต ผิวหนังที่มีรอยพับย่น ทวารหนักและปาก โรคนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่อาการอาจแย่ลงขณะมีเพศสัมพันธ์ และการติดเชื้ออาจทำให้มีเพศสัมพันธ์ได้ไม่สะดวก
เชื้อแคนดิดามักอาศัยอยู่บริเวณผิวหนังและภายในร่างกาย แต่ก็สามารถก่อให้เกิดติดเชื้อได้ หากเจริญเติบโตมากจนเกินการควบคุม โรคเชื้อราในช่องคลอดอาจเกิดจากการที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ยาบางประเภท และโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน นอกจากนี้ ยังเกิดจากปัจจัยอื่นๆ รวมถึง:
- การสวมเสื้อผ้ารัดรูปหรือการใช้สบู่หอมหรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่มีน้ำหอมเป็นส่วนผสมตรงบริเวณอวัยวะเพศ
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง (เช่น ระหว่างมีประจำเดือนหรือตั้งครรภ์)
- การรับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาประเภทอื่น เช่น ยาคุมกำเนิดและยาสเตียรอยด์
- ระดับน้ำตาลไม่เสถียรเนื่องจากเป็นโรคเบาหวาน
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือถดถอย
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการ
โรคเชื้อราในช่องคลอดไม่เป็นอันตรายและบางคนก็ไม่มีอาการ
Content warning: click to show images of symptoms
ช่องคลอด/ปากช่องคลอด
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการของภาวะเชื้อราในช่องคลอดอาจประกอบด้วย:
- อาการคันและ/หรือแสบร้อน
- ตกขาวลักษณะข้นมีสีขาวหรือสีเหลืองนวล ซึ่งอาจจะดูเหมือนคอตเทจชีส/นมบูด
- เป็นรอยแดงและ/หรือบวม
- คันหรือเจ็บบริเวณปากช่องคลอดและ/หรือภายในช่องคลอด
- เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
องคชาต
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการของภาวะเชื้อราอาจประกอบด้วย:
- ปลาย (หัว) องคชาตคันและแดงมาก
- มีจุดเล็กๆสีแดงและเจ็บ ตรงปลาย (หัว) องคชาต
- มีคราบตะกรันหรือขี้เปียก ‘คล้ายชีส’ ซึ่งมีกลิ่นคล้ายยีสต์และหมักหมมอยู่ใต้หนังหุ้มปลาย
- ภาวะเชื้อราอาจทำให้หนังหุ้มปลายของบางคนบวมและแตกได้
ทวารหนัก/ลำไส้ตรง
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการของภาวะเชื้อราอาจประกอบด้วย:
- คันอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
- รู้สึกแสบร้อน
- ผิวหนังเปลี่ยนไป เช่น เป็นสีแดงหรือระคายเคือง
- บวม มีเลือดออกหรือปวดจากการเกา
ภาวะเชื้อราอาจติดต่อกันระหว่างคู่นอนได้ แต่ไม่ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ลำคอ
ลักณะผิดสังเกตหรืออาการของภาวะเชื้อราอาจประกอบด้วย:
- พบปื้นหรือแผ่นฝ้าสีขาวตรงแก้มด้านใน ลิ้น เพดานปาก ต่อมทอนซิลและลำคอ
- ปากและ/หรือลำคอแดงหรือเจ็บ
- รู้สึกเหมือนมีใยบางๆในช่องปากและช่องปากแห้ง
- ไม่รับรู้รสชาติ
- รู้สึกแสบที่ลิ้น
ผิวหนัง
ภาวะเชื้อราอาจส่งผลกระทบต่อผิวหนังส่วนอื่น เช่น รักแร้ ขาหนีบและง่ามนิ้ว ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการหรืออาการแสดงของภาวะเชื้อราอาจประกอบด้วย
- เป็นผื่นแดง คันหรือปวดจนเป็นสะเก็ดแผลกลัดหนองสีขาวหรือเหลือง
- ผื่นนี้อาจเห็นไม่ชัดนักในผู้ที่มีผิวคล้ำ
สาเหตุที่พบบ่อย
- ภาวะเชื้อราไม่ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) แต่คู่นอนก็สามารถแพร่เชื้อแคนดิดาระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ อาจจะเจริญเติบโตจนก่อให้เกิดโรคเชื้อราหรือไม่ก็ได้
- คู่นอนสามารถแพร่เชื้อแคนดิดาระหว่างการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันผ่านทางช่องปาก ทวารหนักและช่องคลอด การเลียทวารหนัก การใช้นิ้วแหย่ นอกจากนี้ เชื้อราอาจจะอยู่ใต้หนังหุ้มปลายขององคชาตที่ไม่ได้ขลิบ
- การสวมเสื้อผ้ารัดรูปหรือการใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ผสมน้ำหอมตรงบริเวณอวัยวะเพศอาจก่อให้เชื้อแคนดิดาเจริญเติบโตได้
- สาเหตุอื่นๆ ที่พบบ่อย รวมถึง:
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง (เช่น ระหว่างมีประจำเดือนหรือตั้งครรภ์)
- การรับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาประเภทอื่น เช่น ยาคุมกำเนิดและยาสเตียรอยด์
- ระดับน้ำตาลไม่เสถียรเนื่องจากเป็นโรคเบาหวาน
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือถดถอย
การป้องกัน
คุณสามารถป้องกันโรคเชื้อราได้ด้วยการ:
- หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงที่รัดรูปหรือกางเกงในผ้าใยสังเคราะห์
- สวมกางเกงในผ้าฝ้ายเพื่อลดความชื้นที่อาจจะทำให้เชื้อแคนดิดาเจริญเติบโต
- หลีกเลี่ยงการถูสบู่ ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นจุดซ่อนเร้น ผ้าอนามัยหรือแผ่นอนามัยที่ระงับกลิ่นหรือมีน้ำหอม แชมพู และสบู่ตีฟองมากจนเกินไป
- ล้างอวัยวะเพศด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น และซับให้แห้งเบาๆ
- ล้างมือก่อนสัมผัสจุดซ่อนเร้น
- ผู้ที่มีช่องคลอดควรเช็ดบริเวณอวัยวะเพศจากหน้าไปหลัง หลังจากเข้าห้องน้ำแล้ว
- งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการจะหายเพื่อป้องกันมิให้บริเวณดังกล่าวระคายเคืองเพิ่มมากขึ้น
- ส่วนผู้ที่เลือกที่จะมีเพศสัมพันธ์ก็ควรสวมถุงยางอนามัย และใช้สารหล่อลื่นสูตรน้ำให้มากเพียงพอ
- เปลี่ยนถุงยางอนามัยเสมอ เมื่อเปลี่ยนจากการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดเป็นทวารหนัก หรือจากช่องคลอด/ทวารหนักเป็นทางปาก
- ถุงยางและสารหล่อลื่นบางประเภท รวมถึงประเภทที่มีกลิ่น อาจจะทำให้เกิดโรคเชื้อราหรืออาการแย่ลง ระวังและเปลี่ยนยี่ห้อ หากจำเป็น
- หากคุณรับประทานยาปฏิชีวนะหรือติดเชื้อยีสต์เรื้อรัง การรับประทานอาหารเสริมโพรไบโอติกส์ก็อาจจะช่วยป้องกันหรือรักษาอาการติดเชื้อยีสต์เรื้อรังได้
แนะนำให้ผู้ที่มีอาการเชื้อราเป็นๆหายๆพบแพทย์ เนื่องจากอาจมีเชื้อราชนิดที่รักษาได้ยากหรืออาจจะเป็นโรคอื่นร่วมด้วย
หมายเหตุ: แนะนำให้คุณเปลี่ยนถุงยางอนามัยทุกครั้งที่เปลี่ยนการมีเพศสัมพันธ์จากทวารหนักเป็นช่องคลอดหรือทางปาก
การตรวจ
ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจโรคเชื้อรามีดังนี้ คุณสามารถดูรายชื่อคลินิกสุขภาพทางเพศที่ยินดีให้คำปรึกษาสำหรับคนทำงานบริการได้ที่สถานที่ตรวจของเรา
วิธีตรวจ
- ตรวจร่างกายโดยแพทย์/พยาบาล
- การตรวจโดยใช้ไม้สวอบป้ายเอาตกขาว (ส่วนใหญ่แล้ว คุณจะเก็บตัวอย่างได้ด้วยตนเอง)
- คุณสามารถซื้อชุดตรวจโรคเชื้อราในช่องคลอดสำหรับตรวจเองที่บ้าน ราคาประมาณ 10-15 ดอลลาร์ออสเตรเลียได้ที่ร้านขายยาหรือทางออนไลน์
ควรตรวจเมื่อไหร่
- คุณควรพบแพทย์ GP หรือไปที่คลินิกสุขภาพทางเพศ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการติดเชื้อโรคเชื้อรา ในกรณีที่
- คุณมีตกขาวที่มีกลิ่นเหม็น มีแผลบริเวณผิวหนังรอบช่องคลอด เลือดไหลออกจากช่องคลอดอย่างผิดปกติหรือปวดท้อง
- คุณมีอาการของโรคเชื้อราเป็นครั้งแรก
- อาการไม่หายไป หลังจากใช้ยาที่ซื้อได้เองจากร้านขายยาไปแล้ว 7-14 วัน
- คุณติดเชื้อราอย่างน้อย 4 ครั้งหรือมากกว่าต่อปี
- คุณเป็นโรคเบาหวาน
- คุณตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- คุณสามารถตรวจโรคเชื้อราโดยใช้ชุดตรวจที่ซื้อได้เองจากร้านขายยาได้ทุกเมื่อ แต่จะเกิดประโยชน์ที่สุด เมื่อคุณตรวจขณะมีอาการ
ข้อมูลอื่นๆ
- คุณอาจสับสนระหว่างโรคเชื้อรากับโรคอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดอาการคันและแดง ทั้งที่มีและไม่มีตกขาว ให้พบแพทย์ GP หรือไปที่คลินิกสุขภาพทางเพศ หากคุณไม่แน่ใจ
การรักษา
โรคเชื้อรารักษาได้ ข้อมูลที่คุณต้องทราบเกี่ยวกับการรักษาโรคนี้มีดังนี้
วิธีรักษา
- ครีมป้องกันเชื้อราและยาสอดช่องคลอด (ซื้อได้เองจากร้านขายยา)
- ยาเม็ดชนิดรับประทาน (หาซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา)
- นอกจากนี้ คุณยังสามารถซื้อครีมจากร้านขายยาเพื่อบรรเทาอาการบวมและคันได้
- ผู้ที่มีองคชาตควรทาครีมตรงอวัยวะเพศ องคชาตและใต้หนังหุ้มปลาย (หากไม่ได้ขลิบอวัยวะเพศ)
ค่าใช้จ่ายและข้อมูลอื่นๆ
- โดยปกติ การรักษาโดยใช้ยาที่ซื้อได้เองจากร้านขายาจะเสียค่าใช้จ่ายมากสุด 20 ดอลลาร์ออสเตรเลีย
- โรคเชื้อราน่าจะหายไปภายใน 7-14 วันหลังเริ่มการรักษา
- บางครั้ง ผู้ป่วยก็อาจจะมีปฏิกิริยาต่อครีม และอาจจะทำให้อาการแย่ลง
- การรักษาโรคเชื้อราโดยการทาครีมอาจทำให้ถุงยางเสื่อมประสิทธิภาพ ดังนั้นหากมีการใช้ถุงยางอนามัย ให้ทาครีมหลังจากคุณมีเพศสัมพันธ์แล้ว
- คุณไม่จำเป็นต้องรักษาคู่นอน ยกเว้นว่าพวกเขาจะมีอาการ
ภาวะเชื้อราอาจจะกระทบต่องานของฉันได้อย่างไร
ข้อควรพิจารณาในทางปฏิบัติ
นัยสำคัญต่อการทำงาน
- การรักษาโรคเชื้อราโดยการทาครีมอาจทำให้ถุงยางเสื่อมประสิทธิภาพ ดังนั้น คุณก็ควรทาครีมระหว่างที่ไม่ได้ทำงาน/ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย
- การมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้โรคเชื้อราแย่ลงและทำให้มีเพศสัมพันธ์ได้ไม่สะดวก