This post is also available in: English (อังกฤษ) 简体中文 (จีนประยุกต์) 한국어 (เกาหลี)
ฝีมะม่วงเป็นโรคที่พบน้อยในประเทศออสเตรเลีย
ฝีมะม่วงเป็นโรคประจำถิ่นในบางพื้นที่ของทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกาใต้ รวมถึงประเทศในเขตทะเลแคริบเบียน แต่ตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ได้มีการพบผู้ป่วยโรคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือและออสเตรเลีย โดยยังเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยในประเทศออสเตรเลีย โดยส่วนใหญ่จะมีการอักเสบเฉพาะที่ลำไส้ตรง(การอักเสบของลำไส้ใหญ่ ทำให้มีอาการปวดและถ่ายเป็นเลือด) ในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
ฝีมะม่วงคืออะไร
โรคฝีมะม่วง (LGV) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาให้หายได้ โดยจะเกิดตุ่มนูนเล็กๆ ที่มักจะไม่แสดงอาการใดๆ จากนั้นบริเวณที่ติดเชื้อจะบวมใหญ่เป็นก้อน อาจเกิดการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ลำไส้ใหญ่ คอและต่อมน้ำเหลืองได้ โรคฝีมะม่วงสามารถติดต่อกันได้ แม้แต่ในผู้ที่เป็นฝีมะม่วงซึ่งไม่แสดงอาการก็ตาม
โรคฝีมะม่วงเกิดจากแบคทีเรียสายพันธุ์คลาไมเดียและแพร่เชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันได้ทางทวารหนัก ทางปากหรือช่องคลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวหนังถลอกหรือเป็นแผล ในประเทศออสเตรเลีย ฝีมะม่วงเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้บ่อยสุดในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) ซึ่งมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคนผ่านทางทวารหนักโดยไม่สวมถุงยางอนามัย
ผู้ที่มีอาการของโรคฝีมะม่วงมีโอกาสติดโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นๆสูงขึ้น รวมถึงโรคไวรัสตับอักเสบ ซิฟิลิส หนองในและ HIV
Content warning: click to show images of symptoms
ช่องคลอด/ปากช่องคลอด
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการอาจได้แก่:
- มีแผลขนาดเล็ก โดยไม่มีอาการเจ็บหรือปวด
- ผิวหนังบริเวณขาหนีบบวมและแดง
- ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างบวม
- ปวดท้องน้อย
- แคมนอกและแคมในบวม
- หากผู้ป่วยติดเชื้อเรื้อรังและไม่ได้รับการรักษา อาจจะทำให้เกิดแผลลุกลามที่บริเวณอวัยวะเพศ ตามด้วยการอักเสบของบริเวณที่ติดเชื้อ ต่อมน้ำเหลืองมีอาการปวดและบวมโต (หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าฝีมะม่วง) และ/หรือมีไข้ ปวดตามข้อ ปอดบวมหรือข้ออักเสบรีแอคทีฟ
องคชาต
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการอาจได้แก่:
- มีแผลขนาดเล็ก โดยไม่มีอาการเจ็บหรือปวด
- ผิวหนังบริเวณขาหนีบบวมและแดง
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบหรือลำไส้ตรงข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างบวม
- ปวดท้องน้อย
- หากผู้ป่วยติดเชื้อเรื้อรังและไม่ได้รับการรักษา อาจจะทำให้เกิดแผลลุกลามที่บริเวณอวัยวะเพศ ตามด้วยการอักเสบของบริเวณที่ติดเชื้อ ต่อมน้ำเหลืองมีอาการปวดและบวมโต (หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าฝีมะม่วง) และ/หรือมีไข้ ปวดตามข้อ ปอดบวมหรือข้ออักเสบรีแอคทีฟ
ทวารหนัก/ลำไส้ตรง
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการอาจได้แก่:
- มีแผลขนาดเล็ก โดยไม่มีอาการเจ็บหรือปวด
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำไส้ตรงข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างบวม
- มีเลือด เมือกหรือหนองไหลออกมาจากลำไส้ตรงหรือถ่ายเป็นเลือด
- มีอาการปวดขณะขับถ่ายหรือรู้สึกขับถ่ายไม่สุด
- ท้องเสียและปวดท้องน้อย
- หากผู้ป่วยติดเชื้อเรื้อรังและไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้บริเวณเยื่อบุลำไส้ตรงอักเสบได้ (เรียกว่าอาการไส้ตรงอักเสบ) และ/หรือมีไข้ ปวดตามข้อ ปอดบวมหรือข้ออักเสบรีแอคทีฟ
คอ
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการอาจได้แก่:
- ผนังหลังลำคออักเสบบวม
- แผลเปื่อย
- เจ็บคอ
- ต่อมน้ำเหลืองตรงลำคอบวม
ต่อมน้ำเหลือง
ลักษณะผิดสังเกตหรืออาการอาจได้แก่:
- ผิวหนังบริเวณขาหนีบบวมและแดง
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบหรือลำไส้ตรงข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างบวม
- ปวดท้องน้อย
- หากผู้ป่วยติดเชื้อเรื้อรังและไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้เกิดแผลเปื่อยได้ ตามด้วยการอักเสบของบริเวณที่ติดเชื้อ ต่อมน้ำเหลืองมีอาการปวดและบวมโต (หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปฝีมะม่วง) และ/หรือมีไข้ ปวดตามข้อ ปอดบวมหรือข้ออักเสบรีแอคทีฟ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝีมะม่วงอาจทำให้เกิดอาการ:
- ติดเชื้อเรื้อรังและเนื้อเยื่อบริเวณที่ติดเชื้อถูกทำลาย
- หูรูดทวารหนักตีบ (การหดตัวของลำไส้ตรง)
- เนื้อเยื่อตาย (การตายของเซลล์)
- ต่อมน้ำเหลืองแตก
- เกิดรูที่บริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างช่องคลอดกับสำไส้ตรง (ฝีคัณฑสูตร Fistula)
- เกิดแผลฉีกขาด (ทะลุเป็นรู)
- เกิดแผลเป็น
- ภาวะแทรกซ้อนตามระบบต่างๆ เช่น ปอดบวมและไวรัสตับอักเสบ
การแพร่เชื้อ
- โรคฝีมะม่วงติดต่อกันได้โดยการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันทั้งทางทวารหนัก ปากหรือช่องคลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวหนังหรือเยื่อเมือกมีบาดแผลหรือฉีกขาด
- การใช้เซ็กส์ทอยร่วมกับผู้อื่น โดยไม่ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนถุงยางอนามัยระหว่างคู่นอนก็สามารถแพร่โรคฝีมะม่วงได้
แม้แต่ผู้ป่วยโรคฝีมะม่วงที่ไม่แสดงอาการก็สามารถแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นได้
โรคฝีมะม่วงพบได้บ่อยในบางภูมิภาคของทวีปแอฟริกา ประเทศอินเดีย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศแถบละตินอเมริกาและประเทศในเขตทะเลแคริบเบียน ผู้ที่เดินทางไปยังประเทศที่มีโรคฝีมะม่วงแพร่มากกว่าประเทศอื่นๆ และมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ติดเชื้อก็อาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคฝีมะม่วงได้
การป้องกัน
คุณสามารถป้องกันการแพร่โรคฝีมะม่วงได้ด้วยการ:
- ใช้ถุงยางอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ เช่น ถุงมือหรือแผ่นยาง
- สวมถุงยางอนามัยชิ้นใหม่กับทุกสิ่งที่ย้ายจากทวารหนักหรือช่องคลอดของคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง (รวมถึงเซ็กส์ทอยด้วย)
- ใช้ถุงยางอนามัยและแผ่นยาง เมื่อมีกิจกรรมทางเพศโดยใช้ปาก
- ใช้ถุงมือใหม่ เมื่อมีกิจกรรมทางเพศโดยใช้นิ้วหรือกำปั้น
- สวมถุงยางอนามัย เมื่อใช้เซ็กส์ทอยร่วมกับผู้อื่นหรือทำความสะอาดเซ็กส์ทอยซิลิโคน โลหะ พลาสติก ABS หรือแก้ว ด้วยน้ำอุ่นและสบู่ผสมสารต้านแบคทีเรีย
- หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์สวนทวารร่วมกับผู้อื่น
แนะนำให้คุณเปลี่ยนถุงยางอนามัยทุกครั้งที่เปลี่ยนการมีเพศสัมพันธ์จากทางทวารหนักเป็นช่องคลอดหรือทางปาก
การตรวจ
ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจโรคฝีมะม่วงมีดังนี้ คุณสามารถดูรายชื่อคลินิกสุขภาพทางเพศที่เป็นมิตรกับคนทำงานบริการได้ที่สถานที่ตรวจของเรา
วิธีตรวจ
- แพทย์หรือพยาบาลจะตรวจโรค โดยการป้ายเอาเนื้อเยื่อและเก็บตัวอย่างไว้ จะมีการตรวจหาแบคทีเรียสายพันธุ์คลาไมเดีย
- หากผลตรวจแบคทีเรียสายพันธุ์คลาไมเดียออกมาเป็นบวก ทางห้องปฏิบัติการจึงจะตรวจตัวอย่างเพื่อหาเชื้อโรคฝีมะม่วงเพิ่มเติม ผู้ที่มีผลตรวจเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์คลาไมเดียบริเวณทวารหนักเป็นบวกทุกคนจะได้รับยาดอกซีไซคลีน (Doxycycline) ไปรับประทานเป็นเวลา 7 วันและหากผลตรวจฝีมะม่วงออกมาเป็นบวก จะต้องรับประทานยาเป็นเวลา 21 วัน
ควรตรวจเมื่อไหร่
- ควรตรวจโรคฝีมะม่วงหากคุณมีอาการหรือคู่นอนเป็นฝีมะม่วง จะเป็นการดีที่สุด
- ในการตรวจสุขภาพทางเพศตามปกตินั้นไม่มีการตรวจหาฝีมะม่วง ดังนั้น คุณจะต้องปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลเกี่ยวกับอาการ และพวกเขาจะสั่งตรวจ หากเห็นว่าคุณอาจเป็นฝีมะม่วง
ข้อมูลอื่นๆ
- คลินิกสุขภาพทางเพศมักจะไม่เรียกเก็บค่าตรวจรักษาแต่เรียกเก็บจากรัฐบาลแทน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีสวัสดิการ Medicare ก็ตาม ดังนั้น ในกรณีส่วนใหญ่ การตรวจหาฝีมะม่วงก็น่าจะฟรี
- หากคุณพบแพทย์ GP คุณอาจจะเสียค่าธรรมเนียมหรือไม่เสียก็ได้
การรักษา
โรคฝีมะม่วง สามารถรักษาได้
วิธีรักษา
- โดยทั่วไปแล้ว การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเป็นเวลาสามสัปดาห์นั้นมีประสิทธิภาพ
- หากต่อมน้ำเหลืองของคุณปวดหรือบวม ก็อาจจะต้องใช้เข็มเจาะเอาหนองออก
- คุณสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีกหลังจากรักษาจนหายแล้ว – คุณไม่ได้มีภูมิคุ้มกันหลังจากป่วยเป็นโรคนี้
- ภายหลังการรักษาสามเดือน การเข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศอีกครั้งนั้นเป็นความคิดที่ดีเพื่อรับรองว่าคุณได้รักษาจนหายแล้ว
ค่าใช้จ่ายและข้อมูลอื่นๆ
- โดยทั่วไปแล้ว ค่ายาปฏิชีวนะสำหรับการรักษา STI เช่น โรคฝีมะม่วงอยู่ระหว่าง 10-20 ดอลลาร์ออสเตรเลีย สำหรับผู้ที่มีสิทธิใช้โครงการสวัสดิการยา (PBS)
- หากคุณมีบัตรสุขภาพ (healthcare card) โดยปกติ คุณจะจ่ายแค่ค่าสั่งจ่ายยา ซึ่งอยู่ที่ 6 ดอลลาร์ออสเตรเลียโดยประมาณ
- แพทย์ GP สามารถแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่มีให้คุณทราบเพิ่มเติมได้
- คลินิกสุขภาพทางเพศของรัฐสามารถรักษาโรคฝีมะม่วงได้ ไม่ว่าคุณจะมีสิทธิได้รับสวัสดิการ Medicare หรือไม่ก็ตาม
- คุณเสี่ยงที่จะป่วยเป็นฝีมะม่วงซ้ำอีกหรือติดโรค STI อื่นๆ มากขึ้นในปีแรกหลังจากเป็น ฝีมะม่วง
ฝีมะม่วงอาจจะกระทบต่องานของฉันได้อย่างไร
ข้อควรพิจารณาในทางปฏิบัติ
- แพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงการมีกิจกรรมทางเพศ จนกว่าจะได้รับยาปฏิชีวนะครบ 21 วันแล้ว
- หากคุณไม่สามารถหยุดงานได้ การสวมถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอก็สามารถป้องกันการแพร่เชื้อฝีมะม่วง ในขณะที่รับประทานยารักษาอยู่ได้ในระดับหนึ่ง คุณอาจพิจารณาเสนอให้บริการแบบอื่น หรือให้บริการแบบไม่มีการสัมผัสกัน เช่น เซ็กซ์โฟนหรืองานออนไลน์
- ผู้ที่มีเชื้อฝีมะม่วงมีโอกาสติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ สูงขึ้น เช่น HIV โรคไวรัสตับอักเสบ ซิฟิลิสและหนองใน ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องป้องกันที่ดีที่สุด!
- การอักเสบเรื้อรังของโรคอาจทำให้เนื้อเยื้อบริเวณที่ติดเชื้อถูกทำลายอย่างรุนแรงและอาจจะต้องเข้ารับผ่าตัด ดังนั้น อย่าลืมเข้ารักษาการรักษาโดยเร็ว
- เมื่อทานยาปฏิชีวนะแล้วคุณมักจะป่วยเป็นโรคเชื้อราในช่องคลอดคุณอาจควรทานพวกโพรไบโอติกส์ระหว่างและหลังการรับประทานยารักษาเพื่อป้องกันโรคเชื้อรานี้
ข้อควรพิจารณาในด้านกฎหมายและการแจ้งผลตรวจ
- บางรัฐและดินแดนอาจมีกฎหมายที่ห้ามการทำงานบริการหรือการมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่คุณมี BBV หรือ STI ตรวจดูข้อมูลทางกฎหมายและ BBV, STI หรือติดต่อองค์กรเพื่อคนทำงานบริการในพื้นที่ของคุณเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
- การติดตามผู้สัมผัสโรค (contact tracing) ของคู่นอนคนก่อนๆ (หรือที่เรียกว่าการแจ้งผลแก่ผู้สัมผัสโรค partner notification) เป็นการแจ้งผลแก่ผู้สัมผัสโรค BBV และ STI บางชนิด ซึ่งการแจ้งผลแก่ผู้สัมผัสโรคนี้ควรกระทำโดยคำนึงถึงความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและเคารพต่อสิทธิส่วนบุคคลของคนทำงานบริการ องค์กรเพื่อคนทำงานบริการในพื้นที่ของคุณสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับช่องทางการแจ้งผลการตรวจโรคแก่ผู้สัมผัสโรคเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับตัวคุณ
- ฝีมะม่วงเป็นโรคที่ต้องแจ้งผลตามปกติในบางเขต ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยโรคหนองในจะถูกรายงานผลไปยังหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐหรือดินแดนนั้นๆ โดยไม่มีการบ่งบอกถึงแหล่งที่มาของข้อมูล คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกำหนดในเขตของคุณได้จากข้อมูลทางกฎหมายและ BBV, STI