โรคเริม (Herpes simplex virus)

This post is also available in: English (อังกฤษ) 简体中文 (จีนประยุกต์) 한국어 (เกาหลี)

เริมเป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยและติดต่อกันได้ง่าย ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex virus หรือ HSV) โรคเริม/ไวรัส HSV แพร่สู่กันผ่านทางการสัมผัสอย่างใกล้ชิดและทำให้เกิดตุ่มน้ำใสหรือแผลเปื่อยภายในหรือรอบ ๆ ปากหรืออวัยวะเพศ

เริม/ไวรัส HSV มีสองประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

  • HSV-1 ก่อให้เกิดเริมที่ปาก ไวรัสชนิดนี้จะส่งผลต่อปากและผิวหนังโดยรอบ แต่ยังสามารถส่งผลต่ออวัยวะเพศได้ด้วยเช่นกัน โรคเริมชนิดนี้มักจะเรียกกันว่า “cold sores”
  • HSV-2 ก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ (แต่สามารถส่งผลต่อบริเวณใบหน้าได้ด้วยเช่นกัน) และส่วนมากจะติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ ไวรัสชนิดนี้มักจะก่อให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่าและอาจมีไข้และอาการลักษณะคล้ายไข้หวัดใหญ่ร่วมด้วย  

มีการประมาณการว่าประชากรวัยผู้ใหญ่ในประเทศออสเตรเลียประมาณ 70 – 80% เคยได้รับเชื้อ HSV-1 มาแล้ว และประมาณ 12% เคยได้รับเชื้อ HSV-2 

การติดเชื้อเริมส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยจนทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเป็นโรค เริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การใช้ยาสามารถช่วยควบคุมดูแลและบรรเทาความรุนแรงของอาการ ความถี่ของการเกิดโรค และความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้ 

ลักษณะผิดสังเกตและอาการ

หากมีอาการ อาการมักจะเกิดภายใน 2 – 12 วัน หลังจากได้รับเชื้อ แต่อาการของโรคอาจจะยังไม่ปรากฏในทันที โดยอาจใช้ระยะเวลานานหลายวันกว่านั้นหรือหลาย ๆ ปีหลังจากที่ได้รับเชื้อไวรัสเริม หากปล่อยไว้โดยที่ไม่รักษา อาการของเริมอาจรุนแรงมากขึ้นและใช้เวลานานกว่าจะหาย ความเสี่ยงในการแพร่ไวรัสไปยังบุคคลอื่นก็จะเพิ่มสูงขึ้น 

โดยทั่วไป ความถี่ของการเกิดเริมซ้ำที่อวัยวะเพศจะลดลงและเจ็บปวดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป HSV-1 มีแนวโน้มที่อาการจะรุนแรงน้อยกว่าและเกิดซ้ำน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ HSV-2 อาการที่ปรากฏแต่ละคราวอาจใช้เวลา 7 – 10 วัน

Content warning: click to show images

ช่องคลอด/ปากช่องคลอด

เริมมักจะไม่แสดงอาการ หากคุณมีอาการ อาการเหล่านั้นอาจได้แก่

  • ตุ่มน้ำใสซึ่งมีอาการคันหรือเจ็บขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ที่ช่องคลอด ปากช่องคลอด ปากมดลูก และ/หรือบริเวณขาหนีบ ต่อมาจะแตกออกและกลายเป็นแผลเปื่อย แดงและเจ็บปวด
  • อาการปวดแสบปวดร้อนหรือเสียวแปลบ
  • อาการอักเสบที่ดูคล้ายผื่นหรือผิวแห้งแตก
  • ปัสสาวะลำบาก 
  • มีตกขาวลักษณะข้นและใส เป็นสีขาว หรือขุ่น บางครั้งมีกลิ่น “คาวปลา”
  • ผู้ติดเชื้อครั้งแรกอาจมีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และต่อมน้ำเหลืองบวม 

องคชาต

เริมมักจะไม่แสดงอาการ หากมีลักษณะผิดสังเกตหรืออาการ อาการเหล่านี้อาจได้แก่:

  • ตุ่มน้ำใสซึ่งมีอาการคันหรือเจ็บขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ที่องคชาต ถุงอัณฑะ และ/หรือบริเวณขาหนีบ ต่อมาจะแตกออกและกลายเป็นแผลเปื่อย แดงและเจ็บปวด
  • อาการปวดแสบปวดร้อนหรือเสียวแปลบ
  • อาการอักเสบที่ดูคล้ายผื่นหรือผิวแห้งแตก
  • ปัสสาวะลำบาก 
  • มีเมือกลักษณะข้นและใส เป็นสีขาว หรือขุ่น บางครั้งมีกลิ่น “คาวปลา”
  • ผู้ติดเชื้อครั้งแรกอาจมีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และต่อมน้ำเหลืองบวม 

ทวารหนัก/ลำไส้ตรง

เริมมักจะไม่มีอาการ หากมีลักษณะผิดสังเกตหรืออาการ อาการเหล่านี้อาจได้แก่:

  • ตุ่มน้ำใสที่มีอาการคันหรือเจ็บขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ที่ทวารหนักและ/หรือไส้ตรง ต่อมาจะแตกออกและกลายเป็นแผลเปื่อย แดงและเจ็บปวด
  • อาการปวดแสบปวดร้อนหรืออาการเสียวแปลบ
  • อาการอักเสบที่ดูคล้ายผื่นหรือผิวแห้งแตก
  • ต้องการขับถ่ายแบบทันทีทันใด
  • สารคัดหลั่งที่เป็นเมือกหรือเป็นเลือด
  • ท้องผูก 
  • ปวดไส้ตรงหรือปวดหลังส่วนล่าง
  • ผู้ติดเชื้อครั้งแรกอาจมีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และต่อมน้ำเหลืองบวม 

ปาก/ลำคอ

คนส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการของเริม/HSV หากมีลักษณะผิดสังเกตหรืออาการ อาการเหล่านี้อาจได้แก่:

  • ตุ่มน้ำใสที่มีอาการคันหรือเจ็บขึ้นเป็นกลุ่มรอบ ๆ ปากหรือด้านในช่องคอ (cold sores) ต่อมาจะแตกออกและกลายเป็นแผลเปื่อย แดงและเจ็บปวด
  • รู้สึกเสียวแปลบ คัน หรือปวดแสบปวดร้อนที่ปากก่อนที่จะเกิดแผลเปื่อย
  • มีอาการเจ็บคอ (โรคเริมที่ลำคอ)
  • มีอาการเจ็บหน้าอก (โรคเริมที่ลำคอ)

ตา

  • ตาแดง    
  • เจ็บตา     
  • น้ำตาไหล     
  • สายตาพร่ามัว    
  • ตาแพ้แสง

การแพร่เชื้อ

เริมแพร่กระจายได้ง่ายจากการสัมผัสกับบุคคลที่มีไวรัสดังกล่าว คุณสามารถได้รับเชื้อไวรัสเมื่ออวัยวะเพศและ/หรือปากของคุณสัมผัสกับอวัยวะเพศและ/หรือปากของบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งโดยปกติคือขณะมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ก้น และช่องคลอด เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผลเล็ก ๆ บนผิวหนังหรือทางเยื่อบุช่องปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก และใต้หนังหุ้มปลาย

กิจกรรมที่เริมสามารถติดต่อกันได้ มีดังนี้: 

  • HSV-1 (เริมที่ปาก)
    • การใช้ปากสัมผัสกับปาก (เช่น การจูบ)
    • การใช้ปากสัมผัสกับอวัยวะเพศ (เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก)
    • การใช้ปากสัมผัสกับทวารหนัก (ล้างตู้เย็น – ใช้ลิ้นเลียก้น)
  • HSV-2 (เริมที่อวัยวะเพศ)
    • อวัยวะเพศ/ทวารหนักกับอวัยวะเพศ/ทวารหนัก (เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือก้น) 
    • ทวารหนัก/อวัยวะเพศกับปาก (เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก)
  • มารดาสู่ทารก (โดยปกติคือในระหว่างการคลอดแบบธรรมชาติ แต่พบน้อยมาก) ผู้ที่ตั้งครรภ์และมีเริมที่อวัยวะเพศควรแจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของตนทราบ

เริม/HSV แพร่กระจายได้ง่ายที่สุดในขณะที่มีตุ่มน้ำใสหรือแผลเปื่อย แต่เริมก็ยังสามารถติดต่อกันได้แม้ว่าบุคคลนั้นจะยังไม่มีอาการก็ตาม เริมจะติดต่อกันได้มากที่สุดในช่วงที่เริ่มเกิดแผลเปื่อย (รวมถึงอาการเสียวแปลบและอาการชา) ไปจนถึงช่วงสะเก็ดแผลหลุดออก

การป้องกัน

เนื่องจากเริม/HSV ติดต่อกันโดยการสัมผัสกันแบบใกล้ชิดดังนั้นความเสี่ยงในการติดหรือการได้รับเชื้อของบุคคลใดก็ตามที่มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำจึงมีอยู่เสมอ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะระมัดระวังเพียงใดก็ตาม

วิธีการช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเริม/HSV มีดังนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัยเป็นสิ่งป้องกัน (ถึงแม้จะไม่มีอาการที่มองเห็นก็ตาม) โปรดจำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จะปกป้องได้เพียงผิวหนังส่วนที่ถูกปกคลุมอยู่เท่านั้น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำใส แผลเปื่อย หรืออาการอื่น ๆ ที่อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นเริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณรอบ ๆ อวัยวะเพศ
  • หากมีแผลอยู่ที่ปาก ให้หลีกเลี่ยงการจูบและอย่าให้ปากมาสัมผัสกับช่องคลอดหรือทวารหนัก
  • หากลูกค้าแสดงอาการที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นเริม คุณสามารถเสนอให้บริการอื่น ๆ เช่น การใช้มือช่วย การนวดเร้า ให้ลูกค้าแอบดูคุณเปลือยกาย ฯลฯ 

หากคุณเป็นเริมอยู่แล้ว วิธีการช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น มีดังนี้ 

  • ใช้ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัย (แม้เมื่อคุณจะไม่ได้กำลังมีอาการของโรคอยู่ก็ตาม) สามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเริมได้ในระดับหนึ่ง โปรดจำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ปกป้องได้เพียงผิวหนังส่วนที่ถูกปกคลุมอยู่เท่านั้น
  • อย่าสัมผัสแผลเริมบนตัวคุณเองหรือตัวผู้อื่น หากมีการสัมผัส ล้างมือคุณให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำทันทีหลังจากที่สัมผัส
  • การแพร่เชื้อมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้มากกว่าในขณะที่มีแผลอยู่ หากเป็นไปได้ ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมทางเพศนับตั้งแต่ช่วงเวลาที่คุณเริ่มมีอาการเตือนไปจนถึงเวลาที่แผลหายสนิทดีแล้ว (สะเก็ดแผลหลุดออกไปแล้ว และผิวหนังตรงจุดที่เป็นแผลกลับมาเป็นปกติ)
  • หลีกเลี่ยงการให้บริการจูบหากคุณมีแผลเริมที่ปาก
  • ยาบางประเภทอาจช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้ (ดู “วิธีรักษา” ด้านล่าง) 
  • เรียนรู้วิธีสังเกตอาการเมื่อเริ่มเป็นเริม คุณอาจรู้สึกปวดแสบปวดร้อน คัน หรือเสียวแปลบ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าคุณกำลังจะมีตุ่มขึ้น
  • ห้ามใช้ภาชนะใส่อาหาร/น้ำดื่มหรือผลิตภัณฑ์ เช่น ลิปสติก ร่วมกับผู้อื่นหากคุณมีแผลเริม 
  • ดูแลตัวคุณเอง – การเกิดโรคจะพบได้บ่อยครั้งขึ้นเมื่อคุณไม่สบายหรือรู้สึกเครียด

การตรวจ 

ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจหาเริม/HSV มีดังนี้ คุณสามารถดูรายชื่อคลินิกสุขภาพทางเพศที่ยินดีให้คำปรึกษากับคนทำงานบริการได้ที่สถานที่ตรวจของเรา

วิธีตรวจ

  • ใช้ไม้สวอบป้ายเก็บตัวอย่างจากแผลพุพองหรือแผลเปื่อย
  • ตรวจเลือด แต่การตรวจเลือดจะเป็นการบอกเพียงว่าคุณมีเชื้อไวรัสเริมหรือไม่เท่านั้น

ควรตรวจเมื่อใด

  • คุณควรเข้ารับการตรวจหากคุณมีอาการของเริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2) 
  • จะเป็นการดีที่สุดถ้าตุ่มมีอายุน้อยกว่า 4 วัน 
  • ไม่แนะนำให้ทำการตรวจบุคคลที่ไม่มีอาการใด ๆ ที่บ่งบอกว่าเป็นเริม/HSV และการตรวจหาเริมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพทางเพศตามปกติ 

ข้อมูลอื่น ๆ

  • การตรวจที่ได้ผลเป็นลบอาจหมายความว่าคุณไม่มีเชื้อหรือเป็นได้ว่าไวรัสยังไม่ปรากฏอยู่บนผิวหนังในตอนที่เก็บตัวอย่างด้วยไม้สวอบ
  • หากคุณกังวลว่าคุณได้สัมผัสกับเชื้อเริม แต่ไม่มีอาการใด ๆ ให้ปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลด้านสุขภาพทางเพศของคุณ 
  • คุณสามารถตรวจหาเชื้อ HSV-1 ได้ แต่คนส่วนใหญ่สามารถรักษาแผลเริมได้เองที่บ้าน 
  • คลินิกสุขภาพทางเพศมักจะไม่เรียกเก็บค่าตรวจรักษาโดยเรียกเก็บจากรัฐบาลแทน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีสวัสดิการ Medicare การตรวจรักษาก็น่าจะฟรี 
  • หากคุณพบแพทย์ GP คุณอาจจะเสียค่าธรรมเนียมหรือฟรีโดยแพทย์เรียกเก็บเงินจากรัฐบาล 

การรักษา

โรคเริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาการของโรคสามารถรักษาให้สงบลงได้ ข้อมูลที่คุณต้องทราบเกี่ยวกับการรักษาโรคนี้มีดังนี้   

วิธีรักษา

เริมที่ปาก (HSV-1)

  • รักษาโดยการใช้ยาทาเฉพาะที่ (ครีมหรือขี้ผึ้ง) ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา 
  • ยาต้านไวรัสชนิดรับประทานหาซื้อได้จากเภสัชกรหรือด้วยการใช้ใบสั่งจากแพทย์ และโดยปกติจะรับประทานเพียงครั้งเดียว 
  • ยิ่งคุณเริ่มรักษาเริม HSV-1 ได้เร็วเท่าใด (ถ้าจะให้ดีที่สุดเริ่มเมื่อมีอาการเสียวแปลบหรือปวดแสบปวดร้อน) อาการก็จะหายเร็วขึ้นเท่านั้น 
  • แผลเริมมักจะหายเองโดยที่ไม่มีการรักษาภายใน 7 ถึง 10 วัน 

เริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2)

  • ยาต้านไวรัสตามใบสั่งแพทย์สามารถลดความรุนแรงของอาการได้หากรับประทานยาตั้งแต่เนิ่น ๆ (ถ้าจะให้ดีที่สุดคือในทันทีที่คุณสังเกตเห็นอาการ) 
  • ยาต้านไวรัสที่ใช้สำหรับ HSV-1 (แผลเริมที่ปาก) ไม่เหมาะกับการใช้ที่อวัยวะเพศ 
  • คุณสามารถชำระล้างบริเวณแผลเบา ๆ ด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ (เกลือ 1 ช้อนชาต่อน้ำ 2 ถ้วย หรือเกลือ 1 ถ้วยในอ่างอาบน้ำ) 
  • หากแผลก่อให้เกิดความเจ็บปวด คุณสามารถใช้ยาพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนเพื่อบรรเทาอาการ หรือยาชาชนิดทาในรูปแบบขี้ผึ้งหรือครีม (มีจำหน่ายตามร้านขายยา) 

ค่าใช้จ่ายและข้อมูลอื่นๆ 

  • ครีมทาแผลเริมที่สามารถซื้อได้จากเภสัชกรโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ส่วนใหญ่มีราคา $10 ถึง $15
  • ยาเม็ดรักษาแผลเริมแบบรับประทานครั้งเดียวที่สามารถซื้อได้จากเภสัชกรส่วนใหญ่มีราคา $10 ถึง $15
  • คลินิกสุขภาพทางเพศมักจะไม่เรียกเก็บค่ารักษาโดยเรียกเก็บจากรัฐบาลแทน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีสวัสดิการ Medicare การรักษาก็น่าจะฟรี 
  • หากคุณพบแพทย์ GP คุณอาจจะเสียค่าธรรมเนียมหรือฟรีโดยแพทย์เรียกเก็บเงินจากรัฐบาล
  • การติดเชื้อ HSV-2 สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการได้รับและการแพร่เชื้อ HIV 

การสร้างตราบาปต่อผู้ป่วยเริม

เริมถูกมองด้วยความอคติเกินความเป็นจริง (โดยเฉพาะ HSV-2) ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่มีเชื้อไวรัสดังกล่าวก็ตาม การติดเชื้อและ/หรือเป็นโรคอาจชักนำไปสู่อาการซึมเศร้า ความทุกข์ทรมาน ความโกรธ ความพึงพอใจในตนเองต่ำ และความเกลียดชังของสังคมที่มีต่อบุคคลที่เชื่อว่าเป็นต้นตอของเชื้อโรค สิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลต่อความสามารถในการทำงานหรือความรู้สึกของคุณในการทำงาน 

สำหรับหลาย ๆ คน การเอาชนะผลกระทบทางด้านอารมณ์และตราบาปของโรคมักจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าการจัดการกับอาการทางร่างกายเป็นอย่างมาก เริมแทบไม่เคยเป็นโรคที่คุกคามถึงชีวิต และส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวเพียงเล็กน้อยสำหรับคนส่วนใหญ่ คุณอาจต้องปรึกษาแพทย์ GP ของคุณหรือพูดคุยกับเพื่อนผู้ให้บริการหากคุณมีปัญหาในการรับมือกับผลกระทบทางอารมณ์/จิตใจจากการสร้างตราบาปให้กับเริม

เริมอาจจะกระทบต่องานของฉันได้อย่างไร 

ข้อควรพิจารณาในทางปฏิบัติ

  • ขอแนะนำไม่ให้คุณมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่กำลังมีเริมที่อวัยวะเพศ หรือให้บริการจูบ/มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปากในขณะที่กำลังเป็นเริมที่ปากอยู่ เริมจะติดต่อกันได้มากที่สุดในช่วงที่กำลังเริ่มมีอาการ (รวมถึงอาการเสียวแปลบและอาการชา) ไปจนถึงช่วงที่สะเก็ดแผลหลุดออก 
  • หากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ได้ การใช้ถุงยางอนามัยแบบภายนอกหรือภายในจะช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อเริมได้ แต่มีเพียงผิวหนังส่วนที่ปกคลุมด้วยถุงยางอนามัยเท่านั้นที่ได้รับการป้องกัน
  • คุณอาจเลือกที่จะเสนอให้บริการแบบอื่นแทนและใช้ถุงยางอนามัยและ/หรืออุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ เพื่อการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (ถุงมือ แผ่นยางอนามัย ฯลฯ) หรือให้บริการออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ในระหว่างที่เลี่ยงการให้บริการแบบเจอตัว
  • มาตรการป้องกัน เช่น การใช้ยาเพื่อคุมอาการของโรค การดูแลสุขภาพโดยรวมของคุณ และการระบุสัญญาณเตือนที่เข้าข่ายอาการกำลังจะเป็นเริมเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการลดโอกาสที่จะเกิดโรคและผลกระทบต่องานของคุณ
  • หากคุณทราบหรือสงสัยว่าลูกค้าอาจมีอาการหรือเป็นเริม คุณสามารถเสนอให้บริการแบบอื่น หรือปฏิเสธการให้บริการได้ 
  • คุณควรแจ้งบุคคลที่ทำงานขึ้นคู่กับคุณด้วยหากคุณมีผลตรวจ HSV-2 เป็นบวกหรือกำลังเป็นเริมอยู่

ข้อควรพิจารณาด้านกฎหมายและการแจ้งผลตรวจ

  • บางรัฐและดินแดนอาจจะมีกฎหมายที่กำหนดให้การทำงานบริการขณะที่ป่วยเป็นโรค STI และ/หรือ BBV มีความผิด นอกจากนี้ อาจจะมีกฎหมายด้านการป้องกันโรค BBV และ STI ที่บังคับใช้กับบุคคลทุกคนด้วย ตรวจดูข้อมูลทางกฎหมายและ BBV, STI เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกำหนดในเขตที่คุณอาศัยอยู่ และ/หรือ ติดต่อองค์กรเพื่อคนทำงานบริการในพื้นที่ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม

Rate this resource:

Was this article useful?

As you found this post useful...

Follow us on social media!

We are sorry that this post was not useful for you!

What can we do to make this a stronger resource for sex workers?

Tell us how we can improve this post.